สถานที่สำคัญของประเทศฟิลิปปินส์
อุทยานปะการังทางทะเลทุบบาตาฮะ
(Tubbataha
Reefs Natural Park)
อุทยานแห่งนี้มีพื้นที่ประมาณ 130,028 เฮกตาร์ มีแนวปะการังเหนือและใต้ เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการังและสัตว์น้ำหลากหลายสายพันธุ์แล้วยังเป็นที่อยู่อาศัยของนกและเต่าทะเลอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีผาหินปะการังใต้น้ำเก่าแก่ที่มีความสูงถึง 100 เมตร
องค์การยูเนสโกยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติเมื่อ พ.ศ.2536
โบสถ์บาโรกแห่งฟิลิปปินส์ (Baroque
Churches of the Philippines)
โบสถ์แห่งนี้มีทั้งหมด
4 หลัง ตั้งอยู่ในกรุงมะนิลา ซานตามาเรียปาโออาย และมิอากาโอ
หลังแรกสร้างขึ้นโดยชาวสเปนในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 16
มีเอกลักษณ์ที่สำคัญคือเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีศิลปะแบบบาโรกของยุโรปที่สร้างโดยช่างฝีมือชาวจีนและฟิลิปปินส์
องค์การยูเนสโกยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อ พ.ศ.2536
นาข้าวขั้นบันไดบานัว (Banaue
Rice Terraces)
ชาวพื้นเมืองเผ่าอิฟูเกา
(Ifugao)
เป็นผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญาชิ้นนี้ไว้ที่เกาะลูซอน (Luzon) ตอนเหนือของฟิลิปปินส์ มีอายุมากกว่า 2,000 ปี
เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการเพาะปลูก นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาหน้าดิน ช่วยกักเก็บน้ำฝน
และป้องกันน้ำท่วมได้อีกด้วย
องค์การยูเนสโกยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม เมื่อ พ.ศ.2538
เขตนครประวัติศาสตร์วีกัน (Historic
Town of Vigan)
สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่
16 ถือได้ว่าเป็นตัวอย่างการวางผังเมืองแบบสเปนที่ดีที่สุดในเอเชีย
สิ่งก่อสร้างต่างๆ
ในเมืองนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวเนื่องจากได้รับอิทธิพลที่หลากหลาย
ทั้งจากจีนและยุโรป และเพื่อเป็นการรักษาสภาพสถานที่แห่งนี้เอาไว้
จึงอนุญาตให้รถม้าเท่านั้น
องค์การยูเนสโกยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมเมื่อ พ.ศ.2542
ป่าอุทยานแห่งชาติแม่น้ำใต้ดินปวยร์โต
–
ปรินเซซา (Puerto – Princesa Subterranean River National
Park)
อุทยานแห่งนี้มีภูมิทัศน์ที่งดงามของภูเขาหินปูนและแม่น้ำใต้ดินที่ไหลผ่านถ้ำลงสู่ทะเล
ที่มีความยาวถึง 8.2 กิโลเมตร ถือได้ว่าเป็นแม่น้ำใต้ดินที่ยาวที่สุดในโลก
นอกจากนี้ ยังเป็นตัวแทนของกลุ่มระบบนิเวศต่อเนื่องแบบเทือกเขาสู่ท้องทะเล (Full
Mountain to Sea Ecosystem) อีกด้วย องค์การยูเนสโกยกย่องให้สถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกเมื่อ
พ.ศ.2542
ป้อมซานติเอโก (Fort
Santiago)
เคยเป็นด่านแรกที่ใช้ในการป้องกันการโจมตีจากข้าศึก
โดยเฉพาะข้าศึกที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิกและอ่าวมะนิลา แต่ก็ถูกกองทัพสหรัฐฯ
ทำลาย ซึ่งต่อมาก็มีการบูรณะซ่อมแซมให้เป็น “ปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ (Shrine of Freedom)
ขอขอบคุณ http://www.9ddn.com/content.php?pid=753
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น